เพ้นท์บาร์ แบงคอก บาร์ลับใจกลางเมืองที่รวมอาหารและศิลปะไว้ด้วยกัน
- Pasan Craft Therapy
- Mar 22, 2020
- 1 min read
Updated: Jul 20, 2020
กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่แสนวุ่นวายแต่มีเสน่ห์ของประเทศไทย มีพื้นที่หนึ่งในกรุงเทพฯ ที่เป็นที่รู้จักอย่างมากท่ามกลางชาวต่างชาติ และที่ตรงนั้นก็คือ ทองหล่อ หรือ สุขุมวิทนั่นเอง เป็นที่รู้กันดีว่าย่านทองหล่อนั้น เป็นแหล่งแฮ้งค์เอ้าแห่งหนึ่งที่ผู้คนมักจะไปกัน แต่มันมีที่นึงคล้ายๆ กับว่าเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่ทั้งคนไทยและต่างชาติที่อยู่แถวนั้นชอบไปหาอะไรรับประทาน ในตอนเช้า สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า “พิมาน 49” ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 49 ในย่านทองหล่อ ที่นี่มีร้านอาหาร ร้านค้า และกิจกรรมต่างๆมากมายให้ทุกคนได้เพลิดเพลิน และเราจะพาทุกไปพบกับร้านลับๆที่นึงซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ ซึ่งคือ Paintbar Bangkok
เพ้นท์บาร์ เป็นพื้นที่ลับๆแห่งหนึ่งบนชั้น 6 ของตึกตึกหนึ่งในโครงการพิมาน 49 ที่นี่เป็นการรวมกันของชีวิตกลางคืนและศิลปะ มันอาจจะดูย้อนแย้งนิดหน่อยตรงที่ว่าสองอย่างนี้มารวมตัวกัน แต่ที่นี่รวมชีวิตกลางคืนและศิลปะไว้ได้อย่างลงตัว เราได้ไปที่นี่ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ กับเพื่อนคนนึงเพื่อที่จะเข้าร่วมคลาสเพ้นท์ติ้งที่ได้จองไว้ พวกเราอยู่ที่นั่นตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่ายสอง และนั่นคือระยะเวลาสำหรับคลาสหนึ่งคลาส

ป้ายร้านเพ้นท์บาร์
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากจบมัธยมที่เราได้วาดรูประบายสีอีกครั้ง และเราคิดว่าการได้ไปที่เพ้นท์บาร์นั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ เราเคยเป็นคนนึงที่ไม่เก่งอะไรเกี่ยวกับศิลปะเลย เราไม่มีความมั่นใจในการวาดรูปหรือระบายสีสักนิด แต่ที่เพ้นท์บาร์ทำให้เราอยากลองก้าวออกมาจากคอมฟอร์ดโซนของเรา ที่ไม่กล้าจะทำอะไรพวกนั้น สโลกนของเพ้นท์บาร์ที่ว่า ไม่จำเป็นต้องมีทักษะอะไรก็สามารถวาดรูประบายสีได้ มันดึงดูดอยากให้เรามาลองทำงานศิลปะดูอีกสักครั้งโดยที่ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีคำติ หรือคำวิจารณ์อะไรก็ตามถ้าเราทำมันไม่ดี แม้ว่าตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เรียกว่าเก่งในเชิงศิลปะ แต่ที่นี่ก็เป็นเหมือนที่นึงที่ให้โอกาสเราได้ทำงานศิลปะ หลังจากพยายามเลี่ยงมันมาตลอดหลายปี อีกเหตุผลนึงที่เราอยากลองมาวาดรูปที่นี่ก็คือ เราอเองอยากรู้ว่าเราจะรู้สึกยังไงเวลาที่ได้ทำงานศิลปะ และอยากหาคำตอบว่าจริงมั้ยที่การทำงานศิลปะ สามารถช่วยให้เราผ่อนคลาย และช่วยให้ความเครียดของเราลดลงได้
อยากเข้าร่วมคลาสต้องทำอย่างไร
ก่อนที่เราจะไปเพ้นท์รูปที่เพ้นท์บาร์ เราได้เช็คตารางล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนก่อนถึงวันที่เราแพลนว่าจะไป ตารางจะออกล่วงหน้าทุกๆปลายเดือน และเราสามารถเลือกรูปที่จะเพ้นพร้อมกับจัดสรรตารางเวลาที่เหมาะสมกับเราได้โดยอิงจากตารางของทางเพ้นท์บาร์นั่นเอง ในหนึ่งคลาสของการเพ้นท์จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ที่สำคัญก็คือต้องอย่าลืมทำการจองมาก่อนที่จะไปด้วยนะ ราคาของการเข้าร่วมคลาสคือ 799 บาท ซึ่งราคานี้รวมค่าอุปกรณ์ต่างๆแล้ว แต่ค่าน้ำและขนมยังไม่รวมนะ

ข้อมูลต่างๆของทางร้าน
บรรยากาศภายในคลาส
ความรู้สึกแรกตั้งแต่ก้าวขาเข้าไปที่นี่ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินเขาไปสตูดิโอของจิตรกรจริงๆเลย ห้องห้องนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์เกี่ยวกับศิลปะมากมาย มีกระดานวาดภาพวางเรียงเป็นแถวๆรอบห้อง เราสามารถเลือกได้เลยว่าจะนั่งตรงไหน และเรากับเพื่อนเลือกที่จะนั่งริมหน้าต่าง มีหลายปัจจัยเลยที่ช่วยทำให้ที่นี่ให้ความรู้สึกเงียบสงบ เช่น พื้นที่ห้องที่เป็นสี่เหลี่ยม ผู้ช่วยสอน ความเงียบบ และเสียงเพลง เราคิดว่าสิ่งที่มีพลังมากที่สุดที่ทำให้รู้สึกสงบเมื่ออยู่ที่นี่คือ เสียงเพลง เพลย์ลิสทีเปิดเป็นเพลงสากลฟังสบายๆ ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากๆ นอกจากพื้อนที่สำหรับเพ้นท์งานแล้ว ที่นี่ยังมีบาร์เล็กๆ เพื่อให้เราได้สั่งอาหารเครื่องดื่มมาเพลิดเพลินในระหว่างที่วาดรูปไปด้วย

กระดานวาดรูปถูกวางเรียงไว้เป็นแถวๆ
ขั้นตอนการเพ้นท์รูป
ขั้นตอนการเพ้นท์รูปเริ่มขึ้นเมื่อ ผู้ช่วยสอนเดินตรงมาที่เรา และเริ่มสอนให้เราร่างเส้นแบ่งขึ้นมาโดยใช้สีอะคริลิคสีเหลืองผสมน้ำนิดหน่อยมาร่างคร่าวๆ รูปที่เราเลือกจะเพ้นท์ก็คือรูปบ้านหลังหนึ่ง ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไปและภูเขา ผู้ช่วยสอนบอกว่า “รูปนี้เป็นรูปที่ยากรูปนึงเลย เพราะรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเยอะมาก” เราสามารถลือกได้ตามใจเลยว่าจะเพ้นท์รูปนี่ออกมาเป็นแบบไหนไม่จำเป็นต้องเหมือนต้นแบบ ภาพที่เราคิดในหัวคืออยากจะวาดให้ออกมาเหมือนบ้านที่อยู่ในช่วยฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสีของภูเขาและต้นไม้จะเป็นสีโทนอุ่นประกอยไปด้วย สีน้ำตาล สีส้ม และสีเหลือง เกือบๆ 2 ชั่วโมงผ่านไป เราระบายสีพื้นหลังเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือร่างบ้านและต้นไม้ต่างๆซึ่งเราใช้สีขาวในการร่าง จริงๆคือแต่ละขั้นตอนมันยากสำหรับเรานะแต่โชคดีที่มีผู้ช่วยสอน มาคอช่วยแก้ปัญหาในบางส่วนที่เราติดขัด เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนคำคมที่คนชอบพูดกันว่า “เวลาจะผ่านไปเร็วเสมอเวลาที่เรามีความสุข” เมื่อเราเพ้นท์รูปของเราเสร็จแล้ว ผู้ช่วยสอนก็จะมาบอกให้เราเขียชื่อเราลงไปตรงขอบ เพื่อบอกว่ารูปนี่วาดโดยใคร หลังจากนั้นผู้ช่วยสอนก็จะให้ถุงพลาสติกเรามาหนึ่งใบเพื่อใส่ผลงานและนำกลับบ้าน
รูปตัวอย่างและรูปร่างของเรา
อารมณ์ดีขึ้นได้เพราะการเพ้นท์รูป
“แค่ความสุขเล็กๆในชีวิต ก็สามารถทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น” ประโยคนี้มันผุดขึ้นมาในหัวเราตอนที่เรากำลังเพ้นท์รูป ใครจะไปรู้ว่าคนที่ไม่ค่อนอินกับงานศิลปะอย่างเราจะมีความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่มันสงบและผ่อนคลาย จากการที่ได้วาดรูปปละระบายสี ซึ่งเป็นสอง
สิ่งที่ไม่ถูกจัดอยู่ในลิสต์ความชอบของเรา ตอนนั้นเรารู้สึกโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำมาก แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวมันดูย้อนแย้งไปหมด ทั้งบรรยากาศข้างนอกคลาส ที่คนเยอะ รถเยอะ วุ่นวายไปหมด แต่จิตใจเรามันนิ่งสงบมากเพราะการที่เราโฟกัสอยู่ที่อะไรบางอย่าง ซึ่งก็คือการเพ้นท์รูป

รูปเพ้นท์ของเรา
ความประทับใจของเราต่อครูผู้ช่วยสอน
เราได้มีโอกาสพูดคุยกับครูผู้ช่วยสอนคนนึงเกี่ยวกับข้อมลูต่างๆที่เราอยากรู้ แต่เนื่องจากว่าคนในคลาสเยอะมาก เราเลยมัวแต่ถามคำถามจนลืมถามชื่อผู้ช่วยสอนคนนั้นไป แต่ยังไงก็ตาม ผู้ช่วยสอนทุกคนที่นี่น่ารักใจดี แล้วก็พร้อมช่วยเหลือเรามากๆ ถ้าเราติดขัดตรงไหน ข้อมูลที่เราได้จากการพูดคุบกับผู้ช่วยคนนี้ ก็คือว่าผู้ช่วยสอนที่นี่ส่วนใหญ่ก็จบเกี่ยวกับศิลปะมากันหมดเลย และก็ไม่ได้ทำงานที่นี่ทุกวันแต่จะผลัดเปลี่ยนกันไปตามตารางที่ถูกจัดและตามรูปของวันนั้นๆ บางวันก็มีคนมาร่วมในคลาสมากกว่า 20 คน ซึ่งทำให้ต้องมีผู้ช่วยสอนมากกว่า 3 คนเผื่อที่จะได้ดูแลช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ยกตัวอย่างเช่นวันที่เราไป มีคนมาร่วมคลาสประมาณ 15-16 คน เลยมีผู้ช่วยสอนแค่ 2 คนก็พอ ความประทับใจนึงเกี่ยวกับผู้ช่วยสอนที่นี้ ก็คือว่า แค่เรามีปัญหาแล้วแค่ยกมือ ครูช่วยสอนก็จะเข้ามารช่วยเราทันที ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนตอนที่เราเรียนอยู่ที่โรงเรียนสอนศิลปะแห่งหนึ่งในวัยเด็ก อีกหนึ่งความประทับใจก็คือ8ครูผู้ช่วยที่นี่ให้กำลังใจเก่งมาก ระหว่างที่ครูผู้สอนเดินดูแลนักเรียนทั่วห้อง ก็จะมีการหยุดดูนักเรียนและพูดชื่นชมอยู่เสมอ มีประโยคนึงที่ครูผู้สอนพูดกับเราว่า “ลงสีสวยน่ารักมากเลย เก่งมาก” แม้ว่าความจริงสีที่เราระบายลงไปจะไม่ได้สวยขนาดนั้นก็เถอะ แต่แค่กำลังใจจากการชื่นชมเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เรารู้สึกมีคสามสุขแล้วก็มั่นใจมากขึ้นด้วย” ก่อนกลับเราถามผู้ช่วยสอนคนนึงเกี่ยวกับการเพ้นท์ว่ามันสามารถช่วยให้เราผ่อนคลายแล้วมีความสุขมากขึ้นไหม ครูผู้ช่วยสอนตอบกลับมาว่า “คิดว่ามีส่วนนะ เพราะตอนเราวาดรูประบายสีเราโฟกัสอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำตรงหน้า และก็ทำให้เราลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ” นี่อาจจะเป็นคำตอบที่เรากำลังสนใจเกี่ยวกับการใช้ศิลปะบำบัดจิตใจของเรา

ครูผู้ช่วยที่พร้อมช่วยเสมอ
มุมมองจากคนที่เข้าร่วมคลาสเพ้นท์รูป
เราไม่ได้มีโอกาสที่จะพูดคุยกับนักเรียนคนอื่นในคลาสยกเว้นแพท เพื่อนที่ไปกับเรา ก่อนจะไปที่นั่นพวกเราเกิดคำถามขึ้นว่า พวกเราจะสามารถวาดรูปได้จริงหรือ? แต่พอถึงวัน เราได้ยินคำพูดเดิมๆซ้ำๆออกมาจากปากแพทว่า “เห้ย! เราทำได้อะ ไม่คิดว่าจะทำได้เลย” แพทพูดประโยคนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองพร้อมๆกับสีหน้าดีใจของเธอ มันอาจจะมีบางช่วงที่แพทเงียบไปบ้าง แต่เหตุผลของความเงียบนั้นก็คือเธอกำลังตั้งใจเพ้นท์มากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งคำตอบของสิ่งที่เรากำลังสนใจว่า การเพ้นท์รูปสามารถช่วยทำให้จิตใจเราสงบได้จริงหรอ? แต่สังเกตุจากแพท คำตอบก็เห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่แพท แต่เรามองไปรอบๆห้องเรียนคนอื่นก็ดูไม่ต่างจากแพทเลย ทุกคนสนุกกำลังสิ่งที่กำลังทำอยู่ บางคนดูตั้งใจมากๆและมีสมาธิอยู่กับการเพ้นท์รูปของตัวเองอย่างมาก

ทุกคนโฟกัสกับการเพ้นท์รูปมากๆ
ความรู้สึกและประสบการณ์ใหม่ๆจากการเพ้ทน์รูป
แม้ว่าสกิลการวาดรูปของเราจะยังไม่ดีนัก แต่เราก็รู้สึกว่ารูปที่เราเพ้นท์เสร็จมันสวยสำหรับเราแล้ว พูดได้เลยว่าการใช้สีอะคริลิคเพ้นท์รูปนั่นเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตเรา เพราะสมัยเรียน เราเคยใช้แค่สีน้ำ สีชอล์ค สีเทียน และสีไม้เท่านั้น และการได้มีโอกาสไปร่วมคลาสเพ้นท์รูที่ เพ้นท์บาร์นั้นให้พื้นที่กับเราได้ระบายสิ่งที่เราอยากจะระบายออกมาผ่านการวาดรูประบายสี โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีคนมาตัดสินว่ารูปที่เราวาดมันเป็นอย่างไร จริงๆแล้ว เรารู้สึกแอบภูมิใจกับรูปที่เราเพ้นท์ และก็คิดว่าเราจะได้มีโอกาสเพ้นท์รูปอีกแน่ ไม่ใช่แค่ที่เพ้นท์บาร์ แต่เป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ สำหรับใครที่อยากปลดปลายหรือค้นหาอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับศิลปะของตัวเอง ลองหาเวลามาเพ้นท์รูป และปลดปล่อยอารมณ์ความเครียดต่างๆที่เพ้นท์บาร์ดู เชื่อเถอะว่าคงจะดีไม่น้อย
Comments